วัดมัชฌิมาวาส (ธ)

  • ข้อมูลทั่วไป
ชื่อวัดมัชฌิมาวาส (ธ)
ที่อยู่
โทรศัพท์๐ ๗๔๓๒ ๒๗๔๕
โทรสาร
จังหวัดสงขลา
อำเภอเมืองสงขลา
ตำบลบ่อยาง

วัดมัชฌิมาวาส  เดิมมีชื่อว่า  วัดยายศรีจันทร์  ตามชื่อของผู้สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย (แหลมทราย)  แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า วัดกลาง  ตั้งเมื่อปีพุทธศักราช  เท่าใดไม่ปรากฏ  ตั้งอยู่บนที่ราบใจกลางเมืองสงขลาด้านทิศตะวันตกห่างจากทะเลสาบสงขลา  ประมาณ  ๑  กิโลเมตร  ทางด้านทิศตะวันออกห่างจากถนนใหญ่  ประมาณ  ๑๐๐  เมตร  และห่างจากทะเลฝั่งอ่าวไทย  ประมาณ  ๒  กิโลเมตร  มีเส้นทางคมนาคมไปมาสะดวเก  สมเด็จกรมพระยานริสภานุวัตวงศ์  เคยเสด็จมายังวัดนี้  และได้ทรงบันทึกไว้ว่า  วันที่  ๑๑  พฤษภาคม  (๒๔๗๖)  เวลาเย็นไปไหว้พระและชมวัดมัชฌิมาวาส  เป็นวัดที่ตั้งใจทำเป็นอย่างดี  มีรูปเขียนในอุโบสถ  ฝีมือช่างรัชกาลที่  ๓  ไม่ล้ำเลิศอะไร  แต่ทำแปลกสะดุดใจที่กระเบื้องบน  เขียนทั้งปฐมสมโพธิ์และเทพชุมชนประสานกัน  แบ่งด้วยสินเทา  อันยิ่งไม่เคยเห็นเขียนทำนองนี้  ห้องข้างล่างเขียนเป็นสิบชาติ  พระประธานเป็นศิลาขาวฝีมือไทยฉลัก<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" />

ในรัชกาลที่  ๑  ระหว่าง  ปีพุทธศักราช  ๒๓๓๔ ๒๓๔๒  ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา (พระยาอินทคีรี - บุญหุ้ย)  ได้บูรปฏิสังขรณ์วัดยายศรีจันทร์ครั้งใหญ่  พร้อมกับสร้างอุโบสถและศาลาการเปรียญขึ้นใหม่  นอกจากนี้ยังได้พบหลักฐานการจารึกเป็นภาษาจีนที่ระฆังเหล็ก  ฐานเสาหิน  และจารึกภาษาไทยและจีนบนเจดีย์ (ถะ)  กล่าวว่าสร้างในปีพุทธศักราช  ๒๕๔๒

ในรัชกาลที่  ๒  และรัชกาลที่  ๓  ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๓๖๐ ๒๓๗๕  ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา (พระยาวิเชียรคีรี - เกี๊ยนเส้ง)  ได้บูรณปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมเพียงเล็กน้อย  และเมื่อเมืองสงขลาย้ายมาฝั่งตะวันออกของทะเลสาบแล้ว  ผู้สำเร็จราชการจึงได้ใช้อุโบสถวัดย้ายศรีจันทร์เป็นที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา

ในรัชกาลที่  ๔  ระหว่างปีพุทธศักราช  ๒๓๙๔ ๒๔๐๘  ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา (เจ้าพระยาวิเชียรคีรี - บุญสังข์)  ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดย้ายศรีจันทร์ครั้งใหญ่  พร้อมกับสร้างศาสนสถานขึ้นใหม่หลายหลัง  แล้วก่อกำแพงวัดด้วยหิน  ซุ้มประตูวัดทั้ง  ๔  ทำเป็นรูปมหามงกุฎ  อันเป็นสัญลักษณ์ของรัชกาลที่  ๔  ในขณะที่กำลังก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่นี้  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสเมืองสงขลา (พุทธศักราช  ๒๔๐๒ - ๒๔๐๖)  และเสด็จเยี่ยมวัดยายศรีจันทร์นี้ด้วย

ในรัชกาลที่  ๕  ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา (เจ้าพระยาวิเชียร - ชม)  ได้บูรณะอุโบสถเดิม  ซึ่งสร้างไว้ในสมัยรัชกาลที่  ๑  (พุทธศักราช  ๒๓๓๘)  เนื่องจากอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมากแล้วจึงปรับปรุงเป็นวิหารใน พุทธศักราช ๒๔๒๘  ซึ่งในระยะนี้วัดยายศรีจันทร์มีชื่อเรียกว่า วัดกลาง แล้ว

ในปีพุทธศักราช  พระเจ้าน้องยาเธอ  กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส  ได้เสด็จมายังวัดกลางและประทับ ณ ตึกเก๋งจีน (เรียกกันว่าตึกคุณละม้าย)  ทรงเปลี่ยนชื่อวัดกลางมาเป็น วัดมัชฌิมาวาส  และให้ถอนพัทธสีมาจากอุโสถเก่า  ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่  ๑  (พุทธศักราช  ๒๓๓๘ - ๒๓๔๑)  มาผูกพัทธสีมา ณ อุโบสถใหม่

ในสมัยรัชกาลที่  ๖  พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ  ยกวัดมัชฌิมาวาสขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี  เมื่อวันที่  ๑๗  สิงหาคม  พุทธศักราช  ๒๔๖๐  ต่อมาใน พุทธศักราช ๒๔๘๒ พระเทพวิสุทธิคุ (เลี่ยม อลีโน) เจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาสได้จัดตั้งห้องสมุดและภัทรศีพิพิธภัณฑ์สถาน วัดมัชฌิมาวาสขึ้นที่ด้านทิศเหนือของพระอุโบสถในปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์สถานแห่งนี้ใช้สำหรับเก็บรักษาและจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุ ส่วนใหญ่เป็นของที่พบในจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง

สถานะและที่ตั้งวัด

วัดมัชฌิมาวาส เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ  ตั้งอยู่เลขที่ ๒๒๒  หมู่ที่  ๑๑  ถนนไทรบุรี ตำบลบ่อยาง   อำเภอเมืองสงขลา  จังหวัดสงขลา   ที่ดินที่ตั้งวัด  มีเนื้อที่ ๑๑ ไร่ ๘  งาน  ๗๕ ตารางวา

สิ่งสำคัญในพระอาราม

                        พระอุโบสถ  หลังปัจจุบันเป็นหลังที่สร้างขึ้นใหม่ระหว่าง พุทธศักราช ๒๓๙๔-๒๔๐๘ เป็นอาคารทรงไทย ก่ออิฐถือปูนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนฐานสูงมีกำแพงแก้วและรั้วเหล็กล้อมรอบเสมารอบพระอุโบสถเป็นเสมาคู่ ทั้ง ๘ หลักทำด้วยศิลาคงจะเป็นของเดิมที่ย้ายจากพระอุโบสถหลังเก่าที่สร้างในรัชกาลที่ ๑  ระหว่าง พุทธศักราช ๒๓๓๘-๒๓๔๑ ตัวพระอุโบสถและพระประธานหันไปทางทิศตะวันตก คงเป็นคติที่ต้องการให้หันไปสู่ทะเลสาบสงขลา อันถือเป็นเส้นทางสัญจรนั่นเอง

                        ผนังพระอุโบสถด้านทิศตะวันออกและตะวันตก มีประตูด้านละ ๒ บาน สลักเป็นภาพรูปลิงแบกเทพ ส่วนผนังด้านทิศเหนือและใต้มีหน้าต่างด้านละ ๗ บาน สลักเป็นรูปเทวดาถือดาบประทับยืนบนแท่น เหมือนกรอบประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มปูนปั้นรูปมหามงกุฎ คงจะเป็นเครื่องหมายรัชการที่ ๔ นั้นเอง หลังคาทรงไทยลด ๒ ชั้น ๓ ตับ ตับล่างเป็นปีกนกโดยรอบ มีเสาพาไลสี่เหลี่ยมประดับบนหัวเสาและคันทรวยรองรับชายคาปีกนกหน้าบันประกอบด้วยช่อฟ้าในระกาหางหงส์ และนาคลำยอง (ไม่มีนาคสะดุ้ง) ลวดลายประดับหน้าบันทั้ง ๒ ด้าน เป็นปูนปั้นนูนสูงประดับกระจกสี ด้านทิศตะวันออกเป็นรูปพระพรหมทรงหงส์ห้อมล้อมด้วยเหล่าเทวดาและกนกเปลว ส่วนทิศตะวันตกเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณห้อมล้อมด้วยเทพและกนกเปลวด้วยเช่นกัน ภายในอุโบสถไม่มีเพดาน บริเวณหน้าบันด้านในทั้งสองด้านเป็นภาพรูปบั้นราหูอมจันทร์

                        พระประธาน ภายในอุโบสถ เป็นประประติมากรรมหินอ่อน (Alabaster) ประทับนั่งขัดสมาธิราบปางสมาธิ ตามหลักฐานกล่าว เป็นพระพุทธรูปที่ปั้นโดยช่างไทย แล้วส่งไปแกะสลักยังประเทศจีน หน้าตักกว้าง ๕๕ เซนติเมตร ประดิษฐานในบุษบก

<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><?xml:namespace prefix = w ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:word" />                        ภาพสลักศิลานูนสูง พนักพาไลระหว่างช่องเสารอบพระอุโบสถเป็นประติมากรรมนูนสูง แบบศิลปะจีน สลักเป็นภาพเรื่องราวทั้ง ๒ ด้าน เข้าใจว่าเป็นเรื่อง สามก๊ก ทวารบาล ด้านนอกของบานประตูทิศตะวันออกและตะวันตกประดับทวารบาลเป็นประติมากรรมลอยตัวศิลาแบบจีน (ตุ๊กตาจีน) อยู่ทั้งด้านซ้าย-ขวา ของบานประตูทุกบานรวมทั้งสิ้นแปดตัว คือด้านทิศตะวันออก เรียงลำดับจากซ้ายไปขวา มือจะถืออาวุธดังนี้ คือ ตัวที่ ๑ และตัวที่ ๒ ถืออาวุธด้ามยาม (ปลายหัก) ตัวที่ ๓ ถือถะ (เจดีย์) ตัวที่ ๒ ถือพิณ ตัวที่ ๓ ถือร่มใหญ่ และตัวที่ ๔ ถืองู ประติมากรรมทั้งแปดนี้อาจจะหมายถึงเทพเจ้าที่สำคัญประจำทิศของจีน (โลกบาล) รวมกับเทพเจ้าในลัทธิเต๋า ในราชวงศ์ถังและซุ่ง พระอุโบสถหลังนี้ได้รับการบูรณะเสริมโครงสร้าง คสล. โดยกรมศิลปากรเมื่อประมาณ ปี พุทธศักราช ๒๕๑๒-๒๕๑๓

ปิด